ชอบ Amazon Kindle / Audible มาก จนอยากมาเล่าให้ฟัง

TiMeFF
2 min readApr 8, 2018
New Yorker cartoon จากหนังสือ Don’t make me think (Steve Krug)

Post นี้ Amazon ไม่ได้ Sponsor มาแต่อย่างใด แต่ถ้าจะ Sponsor ก็ยินดี ติดต่อมาได้เลยครับ 555

อยากมาเล่า UX ที่พบเจอ ออกตัวก่อนความรู้ UX ผมน้อยนิดมากครับ (หนังสือที่เคยอ่านก็เล่มเดียว Don’t make me think ของ Steve Krug) ผิดถูกประการใดตามหลักการสากล ก็ติชมกันมาได้เลยนะครับ รับทุกข้อกล่าวหา

ผมมักเป็นคนชอบตัดสิน UX ของสินค้าจากอารมณ์ของตัวเอง เริ่มด้วย ความรู้สึกทางลบก่อน ซึ่งผมเรียกอารมณ์นี้ว่า “ทำไมไอ้ตรงนี้มันไม่ทำอย่างงี้วะ”

  • ทำไมต้องให้สลับหน้าจอไปมาเพื่อเทียบข้อมูลตรงนี้ด้วย
  • ทำไมไอ้ Setting WIFI มันถึงมาอยู่ตรงนี้
  • ทำไม Window จะ Update ไม่เตือนก่อน ให้เลือกเวลาได้ เผลอ Shutdown ไป เราลืมว่า Set Update ไว้ (อันนี้แค้นมาก สมัยทำอาชีพเก่าเป็น Business ต้องไป Present ให้ลูกค้า มันอัพเดทจ้าาาา)

ซึ่งหลังจากสำรวจตัวเองแล้ว ผมพบว่าตัวเองเกิดอารมณ์อย่างนี้น้อยที่สุดกับสินค้า Apple ในช่วงยุคหนึ่ง (จนกระทั่งตัวเองมาใช้ไอ้ Touch bar) ก็เลยต้องเก็บหอมรอมริบเสียตังค์ให้ศาสดา

Source: http://redcarpetlearning.com/

ส่วนอีกอารมณ์นึงเป็นอารมณ์ตรงข้ามกันคืออารมณ์ “WOW” (อ่านว่า ว้าว) คือบางทีไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรอยู่แล้ว แต่มันมีเสริมเข้ามามัน Beyond Expectation มากๆ นั่นเอง

เรื่องมีอยู่ว่าผมชอบอ่านหนังสือมาก ตอนแรกก็อ่านใน iPad จนกระทั่งพี่ CTO มาแนะนำให้รู้จัก Kindle

Amazon Kindle

ข้อดีของมันคือ ขนาดเล็กกระทัดรัด อ่านนานได้ไม่ปวดตา เพราะเป็นจอ E-Ink เปลี่ยนหน้าแล้ว จอจะค้างไว้อย่างงั้นเลย นอกจากนี้แบตยังอึดถึกทนอีกด้วย

Wow Factor ตัวแรกคือปัญหาการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษผมบางทีเจอศัพท์ยากๆ ก็ต้องหยิบมือถือมาเปิด Dict แต่ด้วยเจ้านี้ กดค้างไปที่คำศัพท์มันก็เปิด Dict ออกมาให้เลย ทำให้อรรถรสในการอ่านไม่สะดุด

Wow Factor ตัวที่สองคือระบบ One-click buy ของ Amazon ปกติเวลาเราซื้อของออนไลน์มักจะต้องมีขั้นตอน Cart, Checkout, กรอกบัตรเครดิต ที่ยุ่งยาก แต่เวลาเราซื้อของใน Amazon จะมีปุ่มวิเศษนี้ กดทีเดียวหนังสือไปอยู่ใน Kindle และตัดเงินของเราปลิวไปเลยจ้า

เรื่องก็เหมือนจะอยู่ดี จนกระทั่งมีแววจะเสียตังค์เพิ่ม คือพี่ CEO มาแนะนำ Audible ซึ่งเป็นแอพฟังหนังสือเสียงของ Amazon เจ้าเดียวกันนี่หล่ะ

โดยส่วนมาก ถ้านักเขียนไม่ตายไปซะก่อน หนังสือดังๆก็จะถูกอ่านให้เราฟังโดยผู้เขียนเอง ถ้าใครเคยดู Wolf of Wall Street ให้ไปลองฟังเล่มนี้ครับ The Way of The Wolf Jordan Belfort ตัวจริงมาเล่าหนังสือให้ฟังเลย เสียงโคตรบิ้วท์

พี่เขาเล่าว่าที่ใช้ Audible เพราะมันทำให้พี่เขามีสมาธิ Focus กับการฟังได้ เพราะถ้าหลุดปุ้ป มันฟังไม่รู้เรื่อง! อีกแง่คือ ชีวิตคนเราปกติใช้สายตามาเยอะแล้ว ทั้งอ่าน ทั้งทำงาน ต้องให้เวลามันพักบ้าง

ผมก็เสียตังค์เพิ่ม(เวลาซื้อหนังสือ ถ้าเอา Audible ด้วย ต้องจ่ายตังค์เพิ่มอีกเกือบเท่าตัว) ใช้มันอย่างไม่มีทางเลือกจริงๆ

ทีนี้ Wow Factor ที่ 3 มันมาโผล่แถวนี้คือ ผมนั่งฟัง Way of the Wolf เนี่ยในรถ แล้วไปสะดุดคำๆนึง ไม่ใช่อะไร ฟังไม่ออก! วนกรออยู่อย่างนั้น 3–4 รอบ ก็ยังไม่ออก จนนึกสนุกเปลี่ยนแอพไปกดเข้า App Kindle สิ่งที่ปรากฎคือข้อความแจ้งเตือนว่าคุณฟังถึงหน้านี้แล้ว ให้เปิดหน้านั้นให้ทันทีหรือไม่ โอ้ววว เยสสส!!!! จังหวะนั้นคือรักมาก จนกระทั่งต้องมาเขียนบทความนี้แหล่ะครับ (คำๆนั้น คือ “Rapport”)

บางคนอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ควรจะเป็นอย่างงั้นอยู่แล้ว แต่ต้องถามว่าเราในฐานะผู้ผลิต Software บางทีเอาตัวติดกับมันไปจนลืมอะไรอย่างนี้หรือเปล่า น่าคิดนะครับ

ผมเคยคุยกับเพื่อน แล้วเพื่อนแนะนำ App ต่างๆ เว็บต่างๆ มาให้ เพราะด้วยตัว Features อะไรเหล่านี้ที่มันสร้าง Lovable ขึ้นในตัว มันอาจจะเป็นเพียงแค่ Animation บางอย่าง Feature เล็กๆ แต่มันสร้าง Impact และ Reference ต่อๆไปได้อย่างมหาศาลจริงๆ

--

--

TiMeFF

(timeff.io) Tech Entrepreneur, Developer ,and a million other things